เชียงใหม่ : 053-285157
ประสบการณ์เรียนต่อต่างประเทศ โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ประเทศเยอรมนี
รีวิวเรียนต่อต่างประเทศ
|
น้องต้นน้ำ นักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศเยอรมนี ปีการศึกษา 2016-2017 |
Servus! สวัสดีค่ะน้องๆ นักเรียนแลกเปลี่ยน OEC รุ่นต่อไปทุกคน พี่ชื่อพี่ต้นน้ำ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศเยอรมนี ในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนของ OEC การที่พี่ได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของพี่เลยค่ะ พี่จึงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับประสบการณ์ที่พี่ได้รับให้น้องๆฟังกันค่ะ
พี่มีโอกาสไปอาศัยอยู่ที่เมือง Augsburg ที่อยู่ในรัฐ Bayern รัฐทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนีค่ะ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมของประเทศ สิ่งต่างๆที่น้องๆรู้จักเกี่ยวกับประเทศเยอรมนี เช่น ปราสาทดีสนีย์ (ปราสาท Neuschwanstein) เทศกาลเบียร์ (Oktoberfest) หรือทีมฟุตบอล Bayern Munich ก็ล้วนแต่เป็นของรัฐนี้ทั้งนั้นเลยค่ะ เมือง Augsburg เป็นเมืองเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี โฮสของพี่รักและภูมิใจที่ได้อยู่เมืองนี้มาก ตัวพี่เองก็เช่นกัน
โฮสแฟมิลี่ของพี่เป็นครอบครัวเล็กๆ มีพ่อ แม่ และพี่สาวอีก 2 คน แต่เนื่องจากพี่สาวคนโตเรียนมหาลัย จึงกลับบ้านมาเพียงปีละไม่กี่ครั้ง ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่ใจดีมากๆ พวกเขาดูแลพี่เหมือนกับลูกของเขาจริงๆ วันแรกที่พี่ไปพี่รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ก่อนหน้านี้พี่คิดว่าพี่ได้เตรียมตัวเรื่องภาษาไปพอสมควร แต่เมื่อเจอพวกเขาเข้าจริงๆแล้วพี่ก็ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกเลย เนื่องจากโฮสพ่อและแม่ของพี่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ คนที่พูดได้มีแต่พี่สาวเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพี่ในการปรับตัวเรื่องภาษาและการสื่อสาร จนบางครั้งนำไปสู่การเข้าใจผิดได้ ถึงแม้ว่าพี่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่โฮสพี่สาวของพี่ก็พยายามจะทำให้พี่พูดเยอรมันโดยการตอบกลับเป็นภาษาเยอรมันเท่านั้นในช่วงหลังๆ
ในตอนแรกพี่รู้สึกท้อและกดดัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งความกดดันมีมากเท่าไร ยิ่งทำให้พี่มีแรงผลักดันที่จะทำให้พี่ตั้งใจเรียนรู้ภาษาเยอรมันมากกว่าเดิม จนทำให้พี่สามารถสื่อสารกับเขาได้ดียิ่งขึ้น จากที่พี่เป็นคนที่ไม่ค่อยพูด พี่กลายเป็นคนที่กล้าพูดมากขึ้น โฮสพี่สาวสอนพี่ว่า “ถ้าเราปล่อยให้คนประเทศของเขาพูดภาษาของเขาอย่างเดียว เราจะไม่เห็นอะไรในตัวของเขา แต่ถ้าเขาเห็นเราที่เป็นชาวต่างชาติพูดภาษาของเขา เขาจะเห็นความพยายามของเรา”
นอกจากนี้ครอบครัวของพี่ยังชอบเที่ยวอีกด้วย เรามักจะไปเดินป่า คอนเสิร์ต หรือแม้กระทั่งงานประจำปี ทริปที่พี่ชอบที่สุดคือการได้ไปเทศกาลเบียร์หรือ Oktoberfest ที่มิวนิค เป็นงานที่พี่ใฝ่ฝันอยากจะไปมากที่สุดและพี่ก็ได้ไปจริงๆ เรานั่งรถไฟไปประมาณ 1 ชั่วโมง และเดินเท้าต่อไปที่งาน ในงานมีร้านขายของมากมาย คล้ายๆกับงานวัดของบ้านเราที่ใหญ่มากๆ มีเครื่องเล่นต่างๆ มีของกินขาย โดยเฉพาะ Herzkuchen คุกกี้รูปหัวใจที่ถือว่าถ้าใครไม่ซื้อคือมาไม่ถึง Oktoberfest และสิ่งที่ขาดไม่ได้ของงานนี้คือโรงเบียร์ ในงานจะมีโรงเบียร์อยู่หลายแห่ง ข้างในจะเป็นเหมือนร้านอาหารที่ใหญ่มากๆ ที่ขายเบียร์และอาหารเยอรมัน เช่น ขาหมูเยอรมัน, Kaesespaetzle มีลักษณะคล้ายพาสต้าไข่โรยด้วยชีสและหอมเจียว เป็นต้น ในโรงเบียร์ก็จะมีการเล่นดนตรีพื้นเมืองเยอรมันอีกด้วย การมางานนี้ทำให้พี่ได้ซึมซับวัฒนธรรมเยอรมันมากพอสมควร นับเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดของพี่เลยค่ะ
ในส่วนของเพื่อนๆของพี่ที่โรงเรียน พี่ได้เรียนที่โรงเรียน Gymnasium bei St.Stephan นั่งรถรางจากบ้านไปถึงโรงเรียนประมาณครึ่งชั่วโมง พี่ได้เรียนในเกรด 10 หรือ ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คือชั้นม.4ค่ะ วันที่ไปโรงเรียนวันแรกมีคุณครูประจำชั้นพาไปแนะนำห้องเรียน พี่เข้าห้องเรียนไปครั้งแรกพี่ตกใจมาก เพราะ ห้องเรียนของพี่มีผู้หญิงเพียง 2 คน! นอกนั้นเป็นผู้ชายหมดเลย วันนั้นเป็นวันเปิดเทอมวันแรกที่พี่ไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพในหัวพี่ในการเปิดเทอมวันแรกคือทุกคนจะเข้ามาหาพี่ มาชวนพี่คุย แต่ความจริงกลับไม่เลย ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่คนที่นั่งข้างๆพี่ยังไม่คุยกับพี่เลย พี่ต้องใช้เวลาปรับตัวนานพอสมควร เพราะตอนพี่อยู่ที่ไทยพี่เรียนที่โรงเรียนหญิงล้วน แทบจะไม่มีเพื่อนผู้ชายเลย แต่เมื่ออยู่ที่นั่นแล้วพี่จึงต้องปรับตัวเข้าหาเพื่อนผู้ชายให้มากขึ้น ทำให้พี่รู้ว่าความจริงแล้วคนเยอรมันมีนิสัยที่ขี้อายเล็กน้อย น้อยคนเท่านั้นที่จะกล้าเข้าไปหาเพื่อนใหม่แล้วเริ่มทักทายก่อน ดังนั้นฝ่ายที่ควรเริ่มเข้าหาคนอื่นก่อนควรจะเป็นตัวเราเอง วันที่สองตอนพักพี่ยังคงฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ แล้วพี่ก็ถามตัวเองว่าเราจะฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะนี้ทั้งปีจริงๆเหรอ พี่จึงลุกเข้าไปคุยกับเพื่อนผู้หญิงที่มีอยู่สองคนในห้องนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นในการเดินทางเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของพี่
เพื่อนสองคนนั้นความจริงแล้วเป็นคนนิสัยดีมาก ตั้งแต่นั้นมาเราจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกันสามคน เพราะทั้งห้องมีผู้หญิงกันอยู่แค่นี้ ถึงแม้ว่าช่วงแรกๆเราจะไม่ได้สนิทกันมากนัก ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ยิ่งทำให้เรารู้จักคนเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่แค่เฉพาะแค่เพื่อนสองคนนี้เท่านั้น แต่กับเพื่อนผู้ชายในห้องก็เช่นกัน ในตอนแรกที่เราจะเห็นเขาว่าทำไมเป็นคนที่เงียบและไม่เข้าหาใครเลย คุยกันกับแค่ในกลุ่มตัวเอง แต่ยิ่งอยู่ไปนานๆก็ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนตลกและเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ เขาก็ยินดีที่จะช่วยเสมอ การได้ย้ายที่ หรือย้ายห้องบ่อยๆ ทำให้เราเข้าหาคนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าชมรม
พี่ได้เข้าชมรม 2 ชมรม คือชมรมประสานเสียง พี่เข้าเพราะว่าโฮสพี่สาวของพี่อยู่ชมรมนี้ แต่พี่ก็ได้รู้จักกับเพื่อนชั้นอื่นๆ โดยเฉพาะตอนไปเข้าค่ายของคณะประสานเสียงด้วยกัน เราได้นอนห้องเดียวกัน อีกทั้งยังได้สอนภาษาไทยให้กับเขาอีกด้วย อีกชมรมคือชมรมปฐมพยาบาล เป็นชมรมที่น่าสนใจและสนุกมากๆ ทุกอาทิตย์จะมีการจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ เพื่อให้นักเรียนในชมรมได้ฝึกการปฐมพยาบาล และรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดี นอกจากนี้ยังทำให้รู้จักเพื่อนใหม่ที่อยู่ในห้องเดียวกันได้ดีขึ้นอีกด้วย
ในทุกๆเรื่องราวย่อมมีทั้งความโชคดีและอุปสรรค เรื่องราวของพี่ก็เหมือนกัน ไม่ได้จะพบเจอแต่เรื่องดีๆอย่างเดียว พี่ได้เจอกับอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อุปสรรคทางด้านภาษา การสื่อสารที่ผิดพลาดกัน Homesick ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือการปรับตัว ทั้งกับโฮสแฟมิลี่และเพื่อนๆ สิ่งที่สำคัญที่สุกคือเราพยายามมากพอที่จะเข้าหาเขาแล้วหรือยัง? ส่วนตัวพี่ พี่คิดว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ เราไม่มีวันรู้คุณค่าของคนเหล่านี้จนกว่าจะถึงเวลากลับ ดังนั้น จงใช้เวลาที่เหลืออยู่นั้นทำมันให้คุ้มค่าที่สุดเสียดีกว่า ในช่วงแรกๆพี่อาจจะท้อบ้าง เพื่อนก็ยังไม่ค่อยมี หรือสนิทกันมากนัก แต่ช่วงเวลาสามเดือนสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่พี่มีความสุขที่สุด ในวันแรกที่พี่ออกไปแนะนำตัวหน้าชั้น ทุกคนมองพี่เหมือนตัวประหลาด พี่คิดว่า เห้ย เรามาที่นี่ทำไมเนี่ย ในวันสุดท้ายที่พี่กล่าวอวยพรและขอบคุณทุกคน ทุกคนมองมาที่เราแล้วก็ยิ้มและปรบมือให้ อย่างที่ไม่มีใครทำมาก่อน พี่มองตาพวกเขา และพี่ก็ได้รู้ว่า พี่มาที่นี่ทำไม